หลายครั้งที่ท่านต้องรอนานกับการโหลดเว็บไซต์บางเว็บเพียงเพื่ออ่านข้อมูลบางข้อมูลที่ต้องการทางออกที่ดีมากๆอย่างหนึ่งก็คือการไม่โหลดรูปภาพ จะทำให้การโหลดของท่านเร็วขึ้นมาเลยละ่ครับเพราะบางเว็บไซต์มีรูปขนาดใหญ่ทำให้ต้องใช้เวลาในการโหลดนาน เข้าวิธีการกันเลยครับ
1. เปิดหน้าต่าง IE ขึ้นมาก่อนครับ
2. คลิกที่เมนู Internet Options
3. คลิกที่แท็บ Advance แล้วเลื่อนสกอร์ลงมาที่หัวข้อ Multimedia
4. คลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ Show pictures แล้วคลิก OK แล้วทำการโหลดเว็บไซต์ได้เลย รูปทั้งหลายก็จะไม่มาให้ท่านเห็นเลยครับ แต่ท่านก็โหลดได้เร็วกว่าเดิมนะครับ ลองดู
บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อเสนอทิปส์แก้ปัญหาหรือวิธีที่จะทำให้คุณสะดวกในการใช้งานคอมพ์ รวมถึงคีย์ลัด และวิธีการปรับแต่ง windows ซึ่งจะทำให้คุณใช้งานคอมพ์พิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น
รายละเอียด
บล็อก Rookie ip จัดทำขึ้นโดย กลุ่ม Rookie ม.5/7 โรงเรียนปากช่อง มีสมาชิก 4 คน ดังนี้ 1.นายอลงกต กิตติยุวพร
2.นายภราดร วงศ์วนิชกังวาฬ
3.นายภราดา วงศ์วนิชกังวาฬ
4.นายสิหราช สุระสัจจะ
จัดทำขึ้นเพื่อเสนอทิปส์ต่างๆเกี่ยวกับคอมพ์ และวิธีต่างๆที่จะทำให้คุณใช้คอมพ์ได้ง่ายขึ้น เป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ในวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ ง32104 ส่ง อาจารย์ รังษี เจริญวิวัฒนพงษ์
18/1/55
ทิปส์ 49 < การป้องกันไม่ให้ IE เข้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาำไม่เหมาะสม >
การป้องกันนี้เป็นการกำหนดให้ IE ทำการตรวจสอบเนื้อหาของเว็บไซต์ก่อนการเปิดให้เข้าใช้ ถ้าหากเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาไม่เหมาะสมก็จะมีข้อความให้เราใส่รหัส ก็เป็นการดีสำหรับเครื่อง PC ที่ใช้หลายคนครับ มาดูวิธีการกันเลยครับ
1. เปิดหน้าต่าง IE ขึ้นมา แล้วคลิกที่เมนู Tools > Internet Options
2. คลิกที่แท็บ Content จากนั้นคลิกที่ ปุ่ม Setting ที่อยู่ในกรอบของ Content Advisor ถ้าท่านเคยใช้ การทำงานนี้ก็จะมีการถามรหัสให้ท่านได้ใส่ ถ้าเป็นการใช้งานครั้งแรก ก็จะเข้าสู่หน้าต่างของ Content Advisor เลย
3. ให้คลิกที่ Sex แล้วกำหนดค่าของการป้องกันที่ Adjust the slider to specify what user are allowed to see : ซึ่งสามารถกำหนดได้เป็น 4 ระัดับ แล้วคลิกที่ OK แล้วกำหนดรหัส คลิก Ok
1. เปิดหน้าต่าง IE ขึ้นมา แล้วคลิกที่เมนู Tools > Internet Options
2. คลิกที่แท็บ Content จากนั้นคลิกที่ ปุ่ม Setting ที่อยู่ในกรอบของ Content Advisor ถ้าท่านเคยใช้ การทำงานนี้ก็จะมีการถามรหัสให้ท่านได้ใส่ ถ้าเป็นการใช้งานครั้งแรก ก็จะเข้าสู่หน้าต่างของ Content Advisor เลย
3. ให้คลิกที่ Sex แล้วกำหนดค่าของการป้องกันที่ Adjust the slider to specify what user are allowed to see : ซึ่งสามารถกำหนดได้เป็น 4 ระัดับ แล้วคลิกที่ OK แล้วกำหนดรหัส คลิก Ok
ทิปส์ 48 < จะทำอย่างไรเมื่อเปิดโปรแกรมแล้วขึ้นมาเต็มหน้าจอบ้าง ไม่เต็มหน้าจอบ้าง >
ท่านเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้หรือเปล่าครับ เมื่อท่านเปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้วบางครั้งก็ขึ้นเต็มหน้าจอ แต่บางครั้งที่เปิดขึ้นมาแล้วกลับไม่เต็มหน้าจอ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจาก Windows จะจำขนาดของหน้าจอสุดท้ายเอาไว้ตอนที่ท่านทำการปิดโปรแกรม ถ้าหากว่าท่านทำการปิดโปรแกรม ตอนที่เต็มหน้าจอ ตอนที่ท่านเปิดโปรแกรมขึ้นมาก็จะขึ้นเต็มหน้าจอ แต่ถ้าท่านปิดตอนที่ท่านย่อขนาดหน้าจอเมื่อท่านเปิดโปรแกรมนั้นขึ้นมาอีกครั้งขนาดก็จะเท่ากับขนาดที่ทำการย่อเอาไว้ครับ แต่ผมมีวิธีที่จะทำให้เปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้วเต็มหน้าจอทุกครั้งไ้ด้ดังนี้ครับ
1. ให้คลิกขวาที่ช็อตคัตโปรแกรมที่ต้องการ
2. เลือกคำสั่ง Properties
3. คลิกเลือกแท็บ Shortcut
4. ให้ดูที่ไดอะล็อกบ็อกซ์ Run ให้คลิกที่ดรอปดาวน์สิสต์บ็อกซ์ แล้วเลือกเป็น Maximized
5. คลิกที่ Apply > OK ต่อไปเมื่อท่านเปิดโปรแกรมนี้ก็จะขึ้นเต็มจอตลอดแล้วครับ
1. ให้คลิกขวาที่ช็อตคัตโปรแกรมที่ต้องการ
2. เลือกคำสั่ง Properties
3. คลิกเลือกแท็บ Shortcut
4. ให้ดูที่ไดอะล็อกบ็อกซ์ Run ให้คลิกที่ดรอปดาวน์สิสต์บ็อกซ์ แล้วเลือกเป็น Maximized
5. คลิกที่ Apply > OK ต่อไปเมื่อท่านเปิดโปรแกรมนี้ก็จะขึ้นเต็มจอตลอดแล้วครับ
ทิปส์ 47 < การลบโปรแกรมที่ตกค้างใน Registry >
เมื่อท่านทำการ Uninstall (การลบโปรแกรมต่างๆออกจากวินโดวส์) จะมีรายชื่อของโปรแกรมที่ท่านลบตกค้างอยู่ที่ Registry ซึ่งเกิดจากความผิพลาดในการทำงานของวินโดวส์ แต่ท่านสามารถทำำการลบโปรแกรมที่ตกค้างออกจาก Registry ของท่านได้โดยวิธีการดังนี้ครับ
1. ให้ท่านเปิดโปรแกรม Run แล้ว พิมพ์ Regedit แล้วคลิกที่ OK
2. ในหน้าต่าง Registry Editor ให้เข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE / SOFTWARE / Microsoft / windows / Current Version / Uninstall
3. ให้ทำการลบรายชื่อโปรแกรมที่ท่านได้ทำการ Uninstall ไปแล้ว แล้วทำการปิดโปรแกรมได้เลยครับ
1. ให้ท่านเปิดโปรแกรม Run แล้ว พิมพ์ Regedit แล้วคลิกที่ OK
2. ในหน้าต่าง Registry Editor ให้เข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE / SOFTWARE / Microsoft / windows / Current Version / Uninstall
3. ให้ทำการลบรายชื่อโปรแกรมที่ท่านได้ทำการ Uninstall ไปแล้ว แล้วทำการปิดโปรแกรมได้เลยครับ
ทิปส์ 46 < ไม่ชอบ Google Instant อยากกลับไปใช้แบบเดิมแบบที่ 2 >
ลองพิมพ์คำเสิร์ซอะไรก็ได้ใน Google Instant จากนั้นสังเกตลิงก์ที่อยู่ด้านข้างช่องเสิร์ซจะระบุว่า "Instant is on" ให้คลิกแล้วเลือก Off (press Enter to search) เพียงแค่นี้ Google ก็จะปิดฟังก์ชัน Instant Search กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
ทิปส์ 45 < ยกเลิก"เลื่อนหน้าจออัตโนมัติ"ใน Firefox ง่ายแค่คลิก >
ผู้ใช้ Firefox หลายคนบ่นว่า เวลาคลิกบนลูกกลิ้งที่อยู่ตรงกลางของเมาส์บนลิงก์ เพื่อเปิดหน้าเว็บในแท็บ (tab) ใหม่แต่กลับกลายเป็นว่าไปเปิดฟีเจอร์ AutoScrolling แทนที่จะเปิดหน้าเว็บให้ใหม่ดันเลื่อนหน้าเว็บให้ซะงั้น ในการปิดฟังก์ชัน AutoScroll เพื่อจะได้ไม่ต้องทนรำคาญกับปัญหาในลักษณะนี้อีก สำหรับขั้นตอนการปิด(disable) ฟังก์ชัน AutoScroll ของเมาส์ในบราวเซอร์ Firefox ก็ง่ายมากครับเพียงแค่คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Options จากนั้นคลิกไอคอน Advanced คลิกแท็บ General ภายใต้กรอบ Browsing คลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าเช็กบ็อกซ์หัวข้อ "Use AutoScrolling" แล้วคลิกปุ่ม OK เป็นอันเรียบร้อย (หากต้องการกลับมาใช้คุณสมบัตินี่ก็คลิกเลือกกลับมาเหมือนเดิม) คราวนี้ปัญหา AutoScroll เนื่องจากกดลูกกลิ้งปุ่มกลางของเมาส์ก็หมดไปแล้ว ง่ายดีไหมครับ
ทิปส์ 44 < ไม่ชอบ Google Instant อยากกลับไปใช้แบบเดิมแบบที่ 1 >
เชื่อไหมครับว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวที่ไม่ค่อยแฮปปี้กับคุณสมบัติ Google Instant เพราะมีคุณผู้อ่านหลายท่านรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามGoogle เข้าใจดีว่า ผู้ใช้บางส่วนอาจจะไม่คุ้นชินกับรูปแบบการให้บริการใหม่นี้ก็ได้ ดังนั้นทางเว็บไซต์จึงได้จัดทำออปชันปิดการทำงานของฟังก์ชันนี้ไว้ด้วย เพียงแค่คลิกเข้าไปที่ http://www.google.com/perfer-ences จากนั้นเลื่อนหน้าจอลงไปเซกชัน Google Instant เลือกเรดิโอบัตตันหน้าข้อความ "Do not use Google Instant" แล้วคลิกปุ่ม Save Preferences ที่ด้านล่าง ก็เป็นต้น เรียบร้อยแล้วครับ
ทิปส์ 43 < ทำภาพถ่ายให้เป็น 3 มิติ : มาทำไฟล์ MPO กันดีกว่า >
MPO – Multi-Picture Format คือไฟล์ที่มีมาตรฐานมาจากไฟล์รูปภาพ JPEG ที่เราคุ้นเคยกันดีซึ่งเป็นภาพที่เราได้จากกล้อง Digital ทั่วๆ ไป แต่สำหรรับไฟล์ MPO จะประกอบด้วยภาพ 2 ภาพขึ้นไป รวมกันเป็นไฟล์เดียว ซึ่งมาตรฐานไฟล์ชนิดนี้ เราสามารถพบได้จากกล้อง Digital ที่มีคุณสมบัติถ่ายภาพ 3D เช่น Fujifilm FinePix Real 3D W1 ดังนั้นหากเราสามารถประกอบ ไฟล์รูปภาพให้เป็นภาพสามมิติเราก็จะสามารถนำภาพเหล่านี้ไปแสดงบนอุปกรณ์ที่รองรับ 3 มิติ สำหรับสิ่งที่ผู้อ่านต้องเตรียมไว้สำหรับการทำภาพ 3 มิติก็คือ ภาพที่ได้จากการถ่ายภาพสองภาพ ซึ่งแทนด้วยภาพที่จะมองเห็นจากตาซ้ายและตาขวา อย่างละ 1 ภาพ แล้วใช้โปรแกรม Stereo Photo Maker (http://stereo.jpn.orn/eng/stphmkr) จากนั้นวิธีการง่ายๆเพียงแค่เลือกที่ไอคอน โปรแกรมจะให้เราเลือกภาพสำหรับตาซ้าย (Left) และอีก 1 ภาพสำหรับตาขวา (Right) เมื่อเปิดไฟล์ทั้งสองภาพเสร็จเราจะสามารถสร้างไฟล์ MPO ได้โดยไปที่ .MPO ไว้สำหรับนำไปเปิดบนอุปกรณ์ที่รองรับระบบ 3 มิติได้ทันที
ทิปส์ 42 < บริหารร่างกายหน้าคอมพ์... สบายตัวจังเลย >
เราควรบริหารร่างกายอยู่สม่ำเสมอ ท่าง่ายๆนอกจากเดินไปมาคือการบีบคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ เอียงไปซ้ายและขวาก้มหน้าเงยหน้า โดยแต่ละท่าค้างไว้ 10 วินาที ต่อมาเป็นการยืดกล้ามเนื้อหลังโดยการก้มตัว หน้าอกประชิดหัวเข้าการยืดและคลายกล้ามเนื้อควรทำช้าๆ และค้างไว้ 10 วินาที เช่นกัน เพื่อให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นยืดตัว ถ้าห้มแรงๆหรือกระแทกแรงๆจะทำให้เนื้อฉีกขาดหรือบาดเจ็บได้
ทิปส์ 41 < แต่งรูปสวยแค่ปลายนิ้วไม่ง้อ Photoshop ด้วย Snap seed >
Snap seed คือ Application บน iOS ที่ช่วยให้คุณสามารถตกแต่งภาพถ่ายได้ในระดับมือโปร โดยไม่ต้องเสียเวลาโยนเข้าโปรแกรมตกแต่งภาพมืออาชีพต่างๆขั้นตอนการทำงานเข้าใจได้ง่ายๆ และมี Help ในแบบ Overlay คอยช่วยแนะนำขั้นตอนการแต่งรูปต่างๆประกอบตลอดทุกฟังก์ชัน ถ้าอ่านถึงตรงนี้อาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่นะครับ แต่สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆสำหรับ App นี้คือ มีฟังก์ชันการทำงานให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันมาตรฐานอย่างการ Crop ภาพ (ตัดภาพได้ทั้งขนาดอิสระและแบบบังคับตามสัดส่วนของภาพ) หรือฟังก์ชัน Straighten ที่ช่วยปรับภาพให้อยู่ในระนาบเดียวกับวัตถุจริงๆ(ในกรณีที่อาจจะเผลอถ่ายภาพเอียง) ส่วนฟังก์ชันที่ถือเป็นจุดเด่นและน่าทึ่งก็คือ ฟังก์ชันที่เรียกว่า Selective Adjust คือตัวช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถปรับภาพ Bright ness (ความสว่าง),
ทิปส์ 40< สร้างการ์ตูน Stop Motion แบบมืออาชีพด้วย iPhone/iPad/iPod >
Stop Motion Recorder คือ application บน iPhone ที่จะช่วยให้คุณทำภาพเคลื่อนไหวแบบ Stop Motion ได้ง่ายๆหลักการก็คือ ตัว app นั้นจะค่อยเก็บภาพแต่ละ frame ตามเวลาที่ผู้ใช้ตั้งไว้ (Time Interval) และเมื่อเก็บภาพไปเฟรมหนึ่งแล้ว จะสร้าง Onion Skin (คือการซ้อนภาพเดิมกับภาพใหม่โดยที่คงภาพเดิมไว้แต่ปรับภาพให้โปร่งใสขึ้นคล้ายกับ การวาดภาพ animation ด้วยมือ ที่มีการซ้อนภาพด้วยกระดาษลอกลายนั่นเอง) เพื่อใหผู้ใช้นำมาตัดสินใจกำหนดจุดให้วัตถุย้ายไปยังจุดต่อไปได้ แต่ถ้าหากกลัวว่าจะขยับภาพไม่ทันตามเวลาที่ตั้ไว้หรือต้องการใช้เวลาปรับวัตถุนานๆ สามารถปรับเป็นโหมด Manual ก็ได้ ซึ่งสามารถเลือกเปิด Clap Shot โดยการถ่ายภาพแต่ละเฟรมจะใช้การตบมือหนึ่งครั้งนั่นเอง ว้าว!!!
ทิปส์ 39 < เกม Tetris free เวอร์ชันบน Android พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ว!!! >
เททริส(Tetris) เกมยอมนิยม ไม่ต้องสงสัยว่ามันมีเวอร์ชันที่ก๊อบปี้ออกมามากมายแค่ไหน ล่าสุด EA บริษัทผู้พัฒนาเกมขั้นนำได้จับ Tetris มาทำเป็นแอพฯฟรีบนสมาร์ตโฟน Android ลองเข้าไปใน Android Market แล้วค้นคำว่า Tetris จะพบกับเกมที่มีชื่อเดียวกันนี้ยาวเหยียดให้หา Tetris Free คลิกเลือกดาวน์โหลดมาติดตั้งได้เลย รับประกันว่า ไม่ผิดหวัง (จะยิ่งแจ่มมากๆถ้ามันโชว์โฆษณาน้อยหน่อย)ที่สำคัญมันเป็นของฟรี แต่ก็เล่นได้สนุกไม่แพ้เวอร์ชันบนพีซี แถมยังมีเพลงธีมที่คุ้นเคยของต้นฉบับ โดยโหมดที่ให้เล่นฟรีจะเป็น Marathon ในส่วนของการเล่นก็ง่ายนิดเดียวเพราะทุกอย่างควบคุมด้วยระบบสัมผัสเพียงแค่ใช้นิ้วแตะเพื่อให้มันหมุนเมื่อได้ที่แล้วก็ใช้นิ้วลากแท่งชิ้นส่วนปริศนาก็จะตกลงมาเรียงกันเป็นชั้นด้านล่างทันที Tetris free จะมีการเก็บคะแนนของคุณไว้เพื่อให้คุณสามารถแข่งกับตัวเอง และเพื่อนๆบนออนไลน์ได้ด้วย
ทิปส์ 38 < Spark & Ember แมสคอต “จิ้งจอกไฟ” (Firefox) เวอร์ชัน “ตุ๊กตากระดาษ”น่ารักสุดๆ >
Spark และ Ember เป็นแมสคอตที่ออกมาพร้อมกับ Firefox 4 โดยล่าสุดยูสเซอร์ชุมชน Mozilla ในอินโดเนเซียได้ออกแบบแมสคอตจิ้งจอกทั้งสองตัวในเวอร์ชันที่เป็น “ตุ๊กตากระดาษ”แสนน่ารักที่คุณผู้อ่านสามารถทำได้ด้วยตนเอง ขั้นตอนก็ง่ายมากเพียงแค่ดาวน์โหลดไฟล์ PDF จากลิงก์ข้างล่างนี้จากนั้นพิมพ์นกระดาษ A4 ที่มีความหนาสัก 80 แกรมขึ้นไป ตัดชิ้นส่วนทั้งหมดออกมา แล้วประกอบเป็น Spark & Ember ที่แสนน่ารักดังรูปข้างล่างนี้ได้ทันที หวังว่าคงจะถูกใจคุณผุ้อ่านที่น่ารักทุกท่านนะครับ: D
ทิปส์ 37 < นั่งหน้าคอมพ์ห่างไกลปวดหลัง >
คนมีอาการปวดหลังร้อยละ 90 จะมีสาเหตุมาจากนั่งผิดท่า นอกจากนี้ ชีวิตประจำวันของหนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นท่าที่ต้องใช้หลังมากกว่าปกติ ขณะเดียวกันยังให้เวลากับการออกกำลังกายน้อย รวมถึงดูแลสุขภาพน้อยล้วนเป็นสาเหตุทำให้ปวดหลังเรื้อรัง แพทย์จังแนะนำ 7 วิธีที่ควรปฏิบัติในการทำงานแก้อาการปวดหลัง เริ่มจาก
- การเลือกขนาดของโต๊ะ เก้าอี้ให้เหมาะสมพอดีกับสรีระ
- ไม่ควรใช้เก้าอี้สปริงที่เอนได้ เพราะไม่มีการรองรับหลังเท่าที่ควร ควรเลือกเก้าอี้ที่เองได้และมีความสู'ของเก้าอี้และโต๊ะได้ระดับและมีหมอนหนุนหลัง
- คอมพิวเตอร์ที่ใช้ต้องปรับให้จออยู่ในระดับสายตา คือกึ่งกลางของจออยู่ระดับสายตาการพิมพ์งานแป้นคีย์บอร์ด ควรอยู่ในระดับข้อศอกข้อมือจะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์
- ใช้เมาส์แบบแทรกกิ้งบอลหรือไร้สายที่นำมาใกล้ตัวได้ ใช้ถนัดไม่ต้องยื่นแขน
- ไม่ควรนั่งหน้าจอเป็นเวลานานๆ ควรพักทุก 45 นาที
- ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น
ทิปส์ 36 < สร้างหนังสือการ์ตูน ภายในอึดใจด้วย iPhone >
comicBook! คือ application ที่ช่วยคุณนำรูปสวยๆ ในเครื่องของคุณมาสร้าง effect เป็นแบบการ์ตูนที่ออกจากแท่นพิมพ์ของสำนักพิมพ์ได้ทันทีโดยapplication จะให้คุณเลือกช่องการ์ตูนที่คุณต้องการแต่ละช่องจากนั้นจะสามารถเลือกภาพที่ต้องการที่อยู่ใน Carmera Roll หรือจะเลือกถ่ายภาพขึ้นมาใหม่ก็ได้ หลังจากนั้นก็สามารถใส่ Effect ปรับสีของรูปภาพให้ดูเป็นภาพการ์ตูนสไตล์ Vector ที่สำคัญยังสามารถใส่ Effect ที่เรียกกันในวงการสิ่งพิมพ์ว่า “Halftone” (ถ้านึกไม่ออกลองหยิบหนังสือพิมพ์ใกล้ตัวมาดูแล้วลองสังเกตลงไปที่รูปในหนังสือพิมพ์นั้น จะมีจุดเม็ดสีเล็กๆที่รวมตัวกันก่อกำเนิดเป็นภาพขึ้นมานั่นเอง) เพื่อให้เหมือนกับการ์ตูนยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังใส่คำบรรยายตัวอักษรที่สื่อถึง action ที่เกิดขึ้นภายในภาพได้อีกด้วย
ทิปส์ 35 < แปลงร่างเป็นปีศาจ ให้เพื่อนๆ กรี๊ดสลบด้วย iPhone >
Demon Cam คือ Application ที่เป็นโปรเจ็กต์ใหม่ของ videocopilot.net เว็บไซต์ที่รวบรวม Plug-in ในการทำ Special Effect ต่างๆ ไว้มากมายสำหรับวิธีการใช้งานก็ไม่ยากเพียงแค่คุณหาเพื่อนมาเป็นแบบหรือจะใช้กล้องหน้าจับภาพของตนเองก็ได้ โดยเมื่อเริ่มกดปุ่ม Record ก็ให้ทำการบันทึกภาพโดยเจจะแกล้งทำหน้าปกติหรือพูดคุยไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นเมื่อถึงจุดที่ต้องการแปลงร่างก็เริ่มทำท่าทางที่เรียกว่าขู่ แยกเขี้ยวหรือการคำรามก็ได้ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ตัว Application จะให้เลือกช่วงเวลาในวิดีโอที่ผู้เป็นแบบใกล้จะเริ่มทำหน้าแขกเขี้ยว และเลือกหน้าปีศาจที่เราอยากได้ซึ่งแต่ละตัวก็มี effect ความสยองที่แตกต่างกันไป เช่น บางตัวตาหลุดออกจากเบ้า หรือบางตัวก็มีหนวดคล้ายปลาหมึกออกมาจากปากเป้นต้น โดยเบื้องต้น หน้าปีศาจที่มากับ App จะมีด้วยกัน 7 หน้า (แนะนำให้ปรับเสียงให้ดังที่สุดด้วยนะครับ...) เมื่อได้คลิปวิดีโอสุดสยองเรียบร้อยแล้ว คุณผู้อ่านก็เอาไปอวดเพื่อนๆผ่านฟังก็ชันแชร์ผ่าน Facebook,Email หรือจะบันทึกเก็บไว้นเครื่องไอโฟน
ทิปส์ 34 < เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน ตอน 10 >
ไม้ตายสุดท้าย ปิดสัญญาณ Cellular Data : ถ้าหากฉุกเฉิน ถึงขั้นที่แบตใกล้หมดเต็มที แต่ยังจำเป็นต้องใช้ iPhone โทร-เข้าออกอยู่ ก็ต้องเสียสละในส่วนของสัญญาณ Internet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (Cellular Data) เพราะถึงแม้จะใช้งาน Internet ไม่ได้แต่ก็ยังต่ออายุให้ iPhone สามารถโทร-เข้าออกได้ไปอีกระยะหนึ่โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Cellular Data = OFF
ทิปส์ 33 < เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน ตอน 9 >
ปิด Bluetooth : Bluetooth ของ iPhone นั้นเป็นอบบ Discoverable (สามารถมองเห้นจากเครื่องอื่นได้ตลอดเวลา) ดังนั้นย่อมใช้พลังงานในการส่งสัญญาณออกไปตลอดเวลาจึงควรปิดเมื่อไม่ต้องการใช้ โดยเข้าไปที่ Setting > General > Bluetooth = OFF
ทิปส์ 32 < เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน ตอน 8 >
ปิด Application ที่ค้างใน Multitask : แม้ว่าจะไม่ได้เปิด Application นั้นไว้แล้วก็ตาม แต่ถ้า App ใดที่สนับสนุนการทำงานแบบ Background ก็ย่อมทำให้เครื่องต้องรับภาระประมวลผลเพิ่มเช่นกัน จึงยิ่งทำให้ต้องศูนย์เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นก็ควรปิด App ที่ไม่จำเป็นซะ โดยกดที่ปุ่มโฮมไวๆ 2 ครั้ง จากนั้นกดที่ไอคอนข้างไว้ 2-3 วินาที และกดปุ่มเครื่องหมายลบ
ทิปส์ 31 < เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน ตอน 7 >
ปรับรอบการเช็ก Push เมล์ : ถ้าคุณผู้อ่านเปิดระบบ Fetch ไว้ (การแจ้งเตือนอีเมล์ใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน) ซึ่งจะมีรอบของการเช็กให้เลือก 15 นาที, 30 นาที และ Hourly ด้วยกัน ถ้าไม่ได้ระรับอีเมล์สำคัญจริงๆ ก็ควรเปลี่ยนระบบนี้ไปที่ Manually คือ จะเช็กก็ต่อเมื่อมีการเปิด Application ของ Email เท่านั้น โดยเข้าไปที่ Setting > Email, Contacts, Calendars > Fetch New Data > Fetch = Manually
ทิปส์ 30 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 6 >
ปรบระดับความสว่างของหน้าจอให้พอเหมาะ : ปกติแล้วหน้าจอของ iphone จะมี sensor ที่คอยวัดแสงของสภาพแวดล้อม และปรับความสว่างบองหน้าจอให้เหมาะสมแต่ในกรณีที่แบตใก้หมดจริงๆการปิดโหมดการวัดแสง ก็จะช่วยรักษาระดับพลังงานแบตเตอรี่ได้เช่นกัน โดยเข้าไปปรับได้ที่ setting > brightness > auto-brightness > off
ทิปส์ 29 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 5 >
ปิดการใช้ location service : location service คือการอ้างอิงตำแหน่งของเครื่องตามตำแหน่งดาวเทียม gps หรือ cell site ในกรณีที่เปิด application ที่ต้องการร้องขอตำแหน่งของตัวเครื่อง แน่นอนว่าเป็นการเปลืองพลังงานแบตเตอรี่อีกเช่นกัน ในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้งานให้เข้าไปปิดได้ที่ setting > location service > off
ทิปส์ 28 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 4 >
เลือกเปิดเฉพาะ noticfication ที่จำเป็น : การที่เครื่อง iphone ต้องเช็กกับ server ของทาง apple เพื่อขึ้นข้อความ noticfication ตลอดเวลา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดไป ควรเลือกเปิดเฉพาะ noticfication ที่จำเป็น หรือหากไม่ต้องการใช้จะปิดไปเลยก็ได้ โดยเข้าไปที่ setting > noticfication > off
ทิปส์ 27 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 3 >
ปิด personal hotspot : ในหัวข้อนี้คุณผู้อ่านบางคนอาจจะเจอบ้างไม่เจอบ้างเนื่องจาก personal hotspot จะมีเพิ่มเข้ามาใน firmware 4.3 ขึ้นไป ดังนั้นหากท่านได้เปิดไว้แล้วไม่ได้ใช่งาน ควรปิดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่เคยต่อกับ iphone ไว้แล้วมีการต่อสัญญาณไปยัง internet โดยไม่รู้ตัว โดยเข้าไปที่ setting > personal hotspot > off
17/1/55
ทิปส์ 26 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 2 >
ปิดการเชื่อมต่อ wi-fi แม้จะไม่ได้ใช้สัญญาณ wi-fi อยู่แต่หากเปิดการเชื่อมต่อ wi-fi ไว้โดยปกติแล้ว iphone จะมีการค้นหาสัญญาณ wi-fi อยู่เป็นระยะ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ เข้าไปปิดได้ที่ setting > wi-fi > off
ทิปส์ 25 < เคล็ดลับกู้แบต iphone ยามฉุกเฉิน ตอน 1 >
ปิดการค้นหาสัญญา 3g เพราะการเปิดการทำงานผ่านระบบ 3g ต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าปกติ ทางที่ดีถ้าไม่ได้ใช้งานหรือใช้งานที่ไม่ได้ต้องการความเร็วมากๆลองปิดระบบ 3g โดยเข้าไปที่ setting > general > network > enabler 3g > off
ทิปส์ 24 < วิธีประหยัดกระดาษ ลดโลกร้อนจากงานพิมพ์สู่ PDF >
เพียงแค่ browser ของคุณผู้อ่านติดตั้ง adobe reader plug-in ไว้หนึ่งครั้ง ทีนี้เมื่อใดก็ตามที่ต้องการพิมพ์เอกสารก็เพียงแค่เลือก printer name ไปที่ adobe PDF จากนั้นจะพบหน้าต่างที่ให้ทำการเลือกที่จัดเก็บไฟล์ เพียงเท่านี้คุณผู้อ่านก็จะได้ไฟล์งานพืมพ์ที่เป็น PDF เก็บไว้ได้นานเท่าที่ต้องการ และหากต้องการจะนำไฟล์นั้นมาพิมพ์เป็นกระดาษก็สามารถทำได้เช่นกัน
ทิปส์ 23 < เคล็ดลับลอก sticker บนอุปกรณ์ไอทีให้ไร้คราบ แบบที่ 3 >
ตัวช่วยสุดท้าย " ผู้ช่วยมืออาชีพ " สำหรับวิธีนี้ได้รับการยอมรับจากชาวเน็ตหลายๆแขนงว่าได้ผงชะงักได้แก่ spay clean ที่ใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิววัสดุต่างๆ , น้ำยาล้างคราบกาว citrus base cleaner จาก 3M หรือของ ambersil แม้จะเป็นวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายซักเล็กน้อยแต่รับรองว่าได้ผลแน่นอน
ทิปส์ 22 < ข้อความเดิมๆ จะพิมพ์ซ้ำทำไมให้เสียเวลาให้ phrase express ช่วยคุณสิครับ :D >
คงจะดีไม่น้อย หากแทนที่คุณจะต้องพิมพ์ข้อความซ้ำๆ อยู่เรื่อยไป ก็เพียงแค่พิมพ์ คำย่อ หรือ คีย์ลัด ที่ทำงานร่วมกับ software ให้ช่วยพิมพ์ข้อความที่สมบูรณ์ให้แทนซึ่งมันจะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการกด keybord ลงไปได้เป็นจำนวนมาก เพราะบางข้อความหรือวลีเดิมๆที่ต้องกระหน่ำ keyboard หลายรอบ เพียงพิมพ์แค่ 2-3 ตัวอักษรก็ได้แล้วสำหรับผู้ช่วย software แสนฉลาดนี้มีชื่อว่า phraseexpress ( www.phraseexpress.com/download.html)
ทิปส์ 21 < เคล็ดลับลอก sticker บนอุปกรณ์ไอทีให้ไร้คราบ แบบที่ 2 >
วิธีนี้ไม่มีสูตรตายตัว บ้างก็ว่าน้ำมันพืช บ้างก็ว่ายาหม่อง บ้างก็ว่าโลชั่นทาผิว จริงๆแล้วสูตรนี้ขึ้นอยู่กับว่าสะดวกใช้แบบไหนมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วตัวช่วยที่นำมาใช้ก็ไม่เหมาะกับงานประเภทนี้อยู่ดี แต่ถ้าจะให้แนะนำขอให้แนะนำเป็นโลชั่นทาผิวจะดีที่สุด
ทิปส์ 20 < เคล็ดลับลอก sticker บนอุปกรณ์ไอทีให้ไร้คราบ แบบที่ 1>
เริ่มต้นให้ดี ควรเริ่มจากการ ดึง sticker ที่เป็นกระดาษ มักจะมีความเหนียวไม่มาก ด้วยเหตุที่ว่ามันทำจากกระดาษไม่เหมือนกับ sticker ที่เวัสดุทำจากพลาสติกที่ยืดหยุ่นกว่า ดังนั้น การดีง sticker ออกในมุมตรง 90 องศาหรือมากกว่า ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวกระดาษ ทำให้กระดาษเกิดการขาดก่อนจะนำคราบกาวติดออกมาด้วย ดังนั้นควรเลือกดึงในมุมแค่ประมาร 45 องศาเท่านั้น แล้วดึงในมุมที่ขนาบไปกับพื้นผิวของ sticker
ทิปส์ 19 < วิธีแก้ปัญหาใช้ iTunes กับ PC เกิน 5 เครื่อง >
ในชีวิตประจำวัน เรามักจะใช้งาน computer หลายๆเครื่องด้วยกันไม่ว่าจะที่ทำงานที่บ้านหรือใน notebook ส่วนตัว แล้วถ้าวันหนึ่งเครื่อง computer เกิดเสียหรือมีเหตุต้องขายหรือส่งต่อให้คนอื่น แต่ลืมที่จะ Deauthorise จนเต็มครบ 5 เครื่องจะทำอย่างไรดี โดยปกติแล้วทาง Apple จะบังคับให้เราสามารถ Authorize บัญชีของ iTunes กับเครื่อง PC แต่ละเครื่องผ่านทาง iTunes ได้ เพื่อที่เราจะได้ให้สิทธิ์ computer เครื่องนั้นเข้าจัดการข้อมูล โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ Apprication ที่เราเคยซื้อไปแล้ว ซึ่งช้อกำหนดกับทาง Apple จะบังคับ Authorise ได้ไม่เกิน 5 เครื่องเท่านั้น ปัญหาก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปเครื่อง computer เหล่านั้นอาจเปลี่ยนมือมีการขายหรือเสียหายขึ้นจนเราไม่สามารถเข้าไปยกเลิกทำการ Deauthorise ได้โดยตรงมีวิธีแก้ดังนี้
ทิปส์ 18 < บันทึกปัญหา “ง่ายแค่คลิก” >
ยูทิลิตี้ตัวนี้มีชื่อว่า Problem Steps Recorder หรือ PSR โดยพื้นฐานแล้ว โปรแกรม PSR ตัวนี้มีไว้เพื่อบันทึกปัญหาที่ผู้ใช้พบจากการใช้งาน Apprication ต่างๆ เพื่อส่งข้อมูลปัญหาที่บันทึกได้ไปให้ผู้อื่นที่รู้เรื่องช่วยวิเคราะห์คำตอบให้อีกทีหนึ่ง ซึ่ง PSR จะเก็บข้อมูลว่า ผู้ใช้กดปุ่ม และเลือกเมนูอะไรไว้บ้างจนกระทั่งเกิดปํญหา โดยจะเก็บภาพขั้นตอนทั้งหมดไว้ไว้ในไฟล์บีบอัด .zip ส่วนารเรียกใช้โปรแกรมก็แค่ Search คำว่า PSR แล้วกดปุ่ม Enter โปรแกรมจะเริ่มทำงาน จากนั้นคลิกปุ่ม Start Record เพื่อเริ่มบันทึกการใช้งานได้เลย
ทิปส์ 17 < ปิดทุกโปรแกรมที่รันบน Windows 7 ภายใน”คลิกเดียว” >
Close All Windows เป็นยูทิลิตี้ที่น่าจะมีในวินโดวส์อยู่แล้ว แต่มันกลับไม่ทำเสียนี่ เจ้าโปรแกรมที่ว่านี้สามารถปิดหน้าต่างโปรแกรมทั้งหมดที่กำลังรันอยู่บนเดสก์ทอปได้ภายในคลิกเดียว กลไกทำงานของมันง่ายมาก ซึ่งแทบจะไม่ใช้ทรัพยากรระบบเลย เพราะสิ่งที่โปรแกรมทำก็คือการส่งคำสั่งปิดโปรแกรมไปยังทุกหน้าต่างโปรแกรมที่ทำงานอยู่บนเดสก์ทอป ใช้งานง่ายเพราะไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมแต่อย่างใด แค่ unzip ไฟล์ แล้วสร้างชอร์ตคัต เพื่อเรียกใช้ โดยใส่เข้าไปในเมนู Start, Quick Launch หรือ Taskbar บน Windows 7 หรือวางบนเดสก์ทอปก็ได้ เพียงแค่นี้ คุณก็สามารถปิดโปรแกรมทั้งหมดเดสก์ทอปได้ภายในคลิกเดียวแล้ว
ทิปส์ 16 < ดาวน์โหลดไฟล์เสร็จ ชัตดาวน์คอมพ์ให้ด้วยเลยได้ไหม? >
ขณะที่คุณกำลังดาวน์โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และจวนเจียนจะเสร็จสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันมีเหตุที่ทำให้คุณต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน คุณมีสองทางเลือกคือ ปล่อยให้ดาวน์โหลดต่อไป พอกลับมาค่อยปิดมัน หรือหยุด (Pause) การดาวน์โหลดไว้ก่อน กลับมาค่อยว่ากันใหม่ ปัญหาคงไม่เกิดหากการออกไปทำธุระของคุณใช้เวลาไม่มากนัก แต่หากมันเป็นเช่นนั้นล่ะ จะมีทางออกอื่นไหม ?
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ผมมีคำตอบที่น่าจะตรงใจ และเป็นทางเลือกที่สามสำหรับใครหลายๆคนได้ นั่นก็คือ ติดตั้งฟรีแวร์ที่มีชื่อว่า Airytec Switch Off ผู้ช่วยแก้ปัญหาข้างต้นให้กับคุณได้ โดยมันจะจัดการชัตดาวน์ หรือไฮเบอร์เนตคอมพิวเตอร์ให้กับคุณได้โดยอัตโนมัติ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเวลาปิด เมื่อซีพียูว่างงาน (CPU idle) ตลอดจนหลังจากดาวน์โหลดไฟล์เสร็จสมบูรณ์
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหากคุณไม่สามารถตั้งเงื่อนไขให้ปิดโดยอัตโนมัติได้ คุณก็ยังสามารถสั่งปิดเครื่องคอมพ์พิวเตอร์ของคุณ โดยใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น หรือมือถือของคุณผ่านอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย Airytec Switch Off จะทำงานอยู่ใน System Tray บนทาสก์บาร์ คุณสามารถติดตั้งแอพฯตัวนี้เข้าไปในเครื่อง หรือจะใช้เป็นแอพฯพกพาไว้สั่งรันจากแฟลชไดรฟ์ก็ได้เช่นเดียวกัน ทำงานได้บนเครื่องที่รัน Windows /XP/2000/2003/Vista/2008 และ Windows 7 ขนาดของไฟล์โปรแกรมเล็กมากแค่ 187 กิโลไบต์เท่านั้น(สามารถเลือกภาษาให้กับการแสดงผลของโปรแกรมเป็นภาษาไทยได้อีกด้วย)
7/1/55
ทิปส์ 15 < Touchfreeze ฟรีแวร์ แก้ปัญหาอุ้งมือโดนทัชแพดขณะพิมพ์ >
สำหรับใครที่นิ้วใหญ่อุ้งมืออิ่มเอิบแล้วต้อง
มาพิมพ์บนคีย์บอร์ดเล็กๆ ของเน็ตบุ๊ก แถมพิมพ์ไปแล้วบางทีอุ้งมือก็ดันไปโดนทัชแพด(touchpad) ทำให้เป็นปัญหาต่อการพิมพ์งานหรือใช้โปรแกรม
บางตัว ผู้ใช้บางรายเลือกวิธีเปิด/ปิดสวิตซ์ทำงาน
ทัชแพด(ถ้ามี) แต่วันนี้เรามีวิธีที่ง่ายกว่าแก้ปัญหาได้ชัวร์
มาพิมพ์บนคีย์บอร์ดเล็กๆ ของเน็ตบุ๊ก แถมพิมพ์ไปแล้วบางทีอุ้งมือก็ดันไปโดนทัชแพด(touchpad) ทำให้เป็นปัญหาต่อการพิมพ์งานหรือใช้โปรแกรม
บางตัว ผู้ใช้บางรายเลือกวิธีเปิด/ปิดสวิตซ์ทำงาน
ทัชแพด(ถ้ามี) แต่วันนี้เรามีวิธีที่ง่ายกว่าแก้ปัญหาได้ชัวร์
คงจะดีหากมีซอฟต์แวร์สักตัวที่สามารถคอยปิดการทำงานของทัชแพดขณะพิมพ์ เพื่อไม่ให้เกิดอาการรวนเนื่องจากอุ้งมือไปโดนทัชแพด ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีฟรีแวร์ที่สามารถทำงานในลักษณะนี้จริงๆ โดยฟรีแวร์ดังกล่าวมีชื่อว่า Touchfreeze ที่สามารถดิสเอเบิ้ลการทำงานของทัชแพดในขณะพิมพ์ได้ ฟังดูง่าย แต่มันเวิร์กไม่น่าเชื่อ แล้วปัยหาเคอร์เซอร์กระโดดไปไหนก็ไม่รู้เนื่องจากอุ้งมือของคุณจะหมดไป เอาเป็นว่า ลองาวน์โหลดมาใช้เองดูดีกว่า ของฟรีที่ไมมม่ต้องคิดมากครับ
ทิปส์ 14 < อัพเกรด windows 7 เป็นเวอร์ชันสูงกว่าง่ายแค่คลิกผ่าน Windows Anytime Upgrade >
ซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ได้พรีโหลด Windows 7 Starter แต่อยากเปลี่ยนไปใช้ Windows 7 Ultimate แบบไม่ต้องฟอร์แมตใหม่ใช่หรือเปล่า หลายครั้งที่ไปเดินเลือกซื้อโน้ตบุ๊กได้รุ่นที่ถูกใจ แต่ดันพรีโหลด Windows 7 Starter มาให้เสียนี่ ก็ตั้งใจจะเอาเครื่องนี้มาใช้ทั้งที่บ้านและบริษัท ซึ่งถ้าให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว Windows ที่จะใช้ในออฟฟิศได้จำเป็นที่จะต้องใช้ Windows 7 Professional ขึ้นไป ก็มีทางเลือกอยู่สองทางคือ ซื้อ Windows Upgrade กับซื้อ Windows Anytime Upgrade (อ้างอิงข้อมูลสินค้าที่ใช้ในการอัพเกรดจาก http://store.microsoft/Windows- Windows-7/category/102)ซึ่งทั้งสองทางนี้ต่างกันก็คือ ราคา และเวลาที่ใช้ในการลง โดยที่ถ้าเป็นวิธีที่หนึ่งราคาจะแพงกว่า และต้องเสียเวลาลงทับใหม่ ในขณะวิธีที่สอง ราคาจะถูกกว่ามาก และใช้เวลาในการลงเพียงแค่สิบห้านาที
พร้อมแล้วก็เริ่มเลยดีกว่า ไปยังร้านค้าปลีกใกล้บ้านเพื่อซื้อคีย์ Windows Anytime Upgrade แล้วก็เลือกรุ่นให้ตรงกับเครื่องของคุณ หลังจากนั้นเรียกโปรแกรม Windows Anytime Upgrade ด้วยการคลิกปุ่ม Start และพิมพ์คำว่า Windows Anytime Upgrade ลงใน Search และคลิก หลังจากนั้น ก็เลือกไปที่ Enter and Upgrade Key กรอกคีย์ที่คุณซื้อมาลงไปในช่อง Windows Anytime Upgrade หลังจากนั้นรอประมาณ 15 นาทีโปรแกรมจะจัดการอัพเดทให้ Windows 7 เป็นเวอร์ชันที่คุณต้องการ Restart ใหม่เท่านั้น
5/1/55
ทิปส์ 13 < เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Windows Anytime Upgrade >
Windows Anytime Upgrade สามารถให้ Upgrade ได้ตั้งแต่ Version Starter ไปถึง Professional เท่านั้น ไม่สามารถใช้ Upgrade จาก Windows 64 bit ได้ ลักษณะของ Licence จะเป็นไปตาม Windows 7 เดิมที่ได้ลงไว้ เช่น ถ้า Upgrade จาก Windows 7 Starter OEM แล้ว Upgrade เป็น Windows 7 Ultimate licence ก็จะเป็น Windows 7 Ultimate OME
ทิปส์ 12 < เปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอให้เป็น Slide Show บน Windows 7 >
เครื่องคุณต้องลง Windows 7 จากนั้นคลิกขวาบนหน้าจอ เลือก Gadgets ( หรือไปที่ Control Panel > Appearance and Personalization ) เลือก Theam รูปตามต้องการ ถ้ายังไม่ถูกใจสามารถคลิก Get more themes online เพื่อไปโหลด เพิ่มจากเว็ปของ Microsoft
คุณสามารถตั้งค่าของ Slide ได้โดยคลิกที่เมนูด้านล่าง Dektop Background Slide Show แล้วเลือกรูปที่ต้องการให้แสดง การจัดวางรูป หรือ เวลาที่ต้องการให้เปลี่ยนรูป หรือ Shuffle แล้วคลิก Save Changes เพียงเท่านี้ ก็ได้พื้นหลังเป็นแบบ Slide Show ตามต้องการ
ทิปส์ 11 < เทคนิคใช้ Windows Search ค้นหาไฟล์แบบสายฟ้าแลบ!! >
ปกติแล้วช่อง Search ในเมนู Start ของ Windows จะสามารถค้นหาไฟล์ หรือ โปรแกรมที่ตรงกันจากตัวอักษรที่คุณพิมพ์เพิ่มเข้าไปทีละตัวสมมุติว่า คุณต้องการหาโปรแกรม Windows Media Player คุณก็จะค่อยพิมพ์ชื่อนี้เข้าไปในช่องค้นหา ด้วยการพิมพ์ตัวอักษรเข้าไปทีละตัวเรียงตามกันไป ซึ่งรายชื่อไฟล์หรือโปรแกรมที่มีชุดตัวอักษรเรียงตามชื่อที่พิมพ์เข้าไปก็จะปรากฎปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงชื่อไฟล์ หรือโปรแกรมที่ใช่
2/1/55
ทิปส์ 10 < เพิ่ม"จำนวนไซต์"ที่แสดงใน"แท็บใหม่" ของ IE >
ผู้ใช้พบว่า แท็บใหม่ (new tab) หรือคำสั่ง about:tabs ของ IE จะเป็นการแสดงเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าบ่อยที่สุดลดตามลำดับซึ่งปกติจะแสดงแค่ 10 เว็บไซต์เท่านั้น โดย IE ไม่ได้ให้ตัวเลือก (Options) สำหรับจำนวนของเว็บไซต์ที่แสดง ขึ้นมาในหน้าแท็บใหม่โดยจะต้องแก้ไขRegistryเริ่มจากพิมพ์คำสั่ง regedit ในช่อง Search แล้วเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Internet Explorer\TabbedBrowsing\NewTabPage
1/1/55
ทิปส์ 9 < รู้มั้ยว่าหน้าจอรกแล้วจะเสียเวลาไปมากถึง 5 ชม. !!! >
คุณเคยเผชิญปัญหาหน้าจอรกจนหาไฟล์ไม่เจอหรือไม่ หลายคนอาจจะชินชาแต่หารู้ไม่ว่า เพราะความรกเหล่านี้ได้ทำลายเวลา 24 ชม./วัน อันมีค่าของเพื่อนๆ ได้อย่างเลือดเย็น สมมติว่านายอลงกตต้องส่งไฟล์ 2-3 ไฟล์ ให้ลูกค้าจำนวน 30 คนต่อวัน แต่เนื่องจากจอรกมากทำให้เสียเวลาหาไฟล์นานมากกว่าปกติ ปรากฏว่านายสิหราชใช้เวลาควานหาแต่ละไฟล์ประมาณ 10 วินาที หรือมากกว่านั้น
ยกตัวอย่างแค่จะทำการส่งไฟล์ให้เพื่อนเฉยๆกลับต้องเสียเวลาอย่างน้อย 100 วินาทีในการค้นหาไฟล์ และถ้าต้องทำงานด้วยสภาวะอย่างนี้เป็นเวลา 1 เดือน จะเสียเวลาประมาณ 5 ชม.- 5ชม. ครึ่ง เตือนขนาดนี้แล้ว หากเพื่อนๆมีเวลาว่างก็จัดการไฟล์ที่วางอยู่บนหน้าจอซะ ไม่ว่าจะเป็นลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป, จัดเก็บไฟล์ลงโฟลด์เดอร์แยกตามหมวดต่างๆ หรือย้ายไปเก็บไว้ที่อื่น เช่น Hard disk หรือ Write เก็บไว้ต่างหาก
ทิปส์ 8 < มาเปลี่ยนสี Taskbar ของ Windows 7 กันดีกว่า :D แบบที่2 >
ยังไม่หมดครับ เพราะเรามีโปรแกรมจากนักพัฒนาคนเดียวกัน ซึ่ง Color Taskbar จะทำงานในโหมด Windows Aero เช่นเดียวกัน แต่มันดูน่าสนุกกว่าโปรแกรมตัวแรกตรงที่สีสันของ Taskbar จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีต่างๆไปเองได้โดยอัตโนมัติ นับเป็นเอฟเฟ็กต์ที่มีลูกเล่นน่าสนใจไม่น้อย
คุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมColor Taskbarได้ที่นีี
ทิปส์ 7 < มาเปลี่ยนสี Taskbar ของ Windows 7 กันดีกว่า :D แบบที่1 >
ทิปส์นี้เอาใจคุณผู้อ่านที่ชอบตกแต่ง Windows 7 ด้วยการแนะนำซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีถึง 2 ตัวด้วยกัน โดยทั้งสองโปรแกรมจะสามารถเปลี่ยนสีของ Taskbar ได้ ซึ่งใช้งานง่ายทั้งคู่แถมยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอีกด้วย พร้อมแล้วไปดูกันเลย เริ่มจาก Windows 7 Taskbar Color Changer http://www.kehalim.com/aff?u=http%3A%2F%2Fwww.door2windows.com%2Fhow-to-change-your-taskbars-color-in-windows-7%2F&r=590282&p=6295315 สำหรับตัวแรกนี้พัฒนาด้วย .net ดังนั้นระบบที่รันได้จะต้องมี Microsoft .net หลังจากดาวน์โหลดโปรแกรมมา แล้ว เมื่อสั่งรัน ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนสีของTaskbarได้ด้วยการคลิกบนปุ่ม Random ซึ่งจะสุ่มเลือกสี เพื่อความสนุกตื่นเต้น หรือคลิกบนแถบสี เพื่อเปิดจานสีของ Windows ขึ้นมา อ้อ...เกือบลืมบอกไปว่าซอฟต์แวร์ตัวนี้จะทำงานได้เมื่อผู้ใช้เปิดโหมดการแสดงผล Windows Aero เท่านั้นด้วยนะครับ Framework 4.0
ทิปส์ 6 < ลบไฟล์ทิ้งโดยไม่ให้ไปเก็บที่ Recycle bin >
ทุกครั้งที่คุณทำการลบไฟล์ทิ้งไฟล์ที่ท่านทำการลบทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่ Recycle bin เมื่อท่านอยากเอาไฟล์ทิ้งไปจาก Windows ท่านก็ต้องไปลบที่ Recycle bin อีกที ถ้าท่านมั่นใจว่าไม่ต้องการไฟล์นั้นอีกแล้วเมื่อท่านทำการลบไฟล์ให้ท่านคลิกเลือกไฟล์ที่ต้องการลบทิ้งแล้วกดปุ่ม shift + Delete ไฟล์นั้นก็จะหายไปเลยไม่ไปอยู่ใน Recycle bin อีกครับ
ทิปส์ 5 < ปักหมุดไดรฟ์ C: บน Taskbar ของ Windows 7 สะดวกคลิกจริงๆ >
ไม้ Taskbar ของ Windows 7 จะใช้งานสะดวกง่ายดาย โดยเฉพาะการเข้าถึงโฟลเดอร์ ไฟล์ และโปรแกรมต่างๆได้อย่างรวดเร้ว แต่มันยังไม่สะดวกนักหากต้องการเข้าถึงฮาร์ดดิสก์ (ไดรฟ์ C: เป้นต้น) จาก Taskbar แถม Windows 7 ยังไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ลากฮาร์ดดิสก์ไปวางบนมันได้เหมือนกับโปรแกรมอื่นๆอีกด้วย แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะในความเป็นจริงคุณสามารถได้ อาศัยแค่ความพยายามเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าพร้อมแล้วทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เลยครับ
- ขั้นแรกให้สร้างไฟล์ข้อความบนเดสก์ทอป โดยคลิกขวาบนพื้นที่ว่างเดสก์ทอปเลือคำสั่ง New ตามด้วย Text Document จากนั้นเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็นชื่อที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น Drive C และเปลี่ยนนามสกุลจาก .txt เป็น .exe แทน คราวนี้ให้ใช้เมาส์ลากไอคอนไฟล์ Drive C.exe ที่สร้างบนเดสก์ทอปมาวาง Taskbar
- คลิกขวาไอคอนที่ปรากฎใน Taskbar คลิกขวา Drive C เลือกคำสั่ง Properties คลิกปุ่ม change icon มันอาจจะมีการแสดงข้อความผิดพลาดขึ้นมา แต่ไม่ต้องไปสนใจ คลิก OK จากนั้นเลือก icon จากหน้าต่าง change icon แล้วคลิกปุ่ม OK เพื่อเปลี่ยนรูป icon บน Taskbar
- หลังจากเปลี่ยนไอคอนให้กับ Drive C เสร้จแล้ว คุณจะยังอยู่ในหน้าต่าง Properties ให้เปลี่ยนข้อความในช่อง Target จาก C:Userชื่อผู้ใช้DesktopDriveC.exeเป้นไดรฟ์ที่คุณต้องการในตัวอย่างนี้ก็คือ c:
- ขั้นตอนสุดท้ายคลิกปุ่ม OK เพื่อจัดเก้บค่ากำหนดการทำงานให้กับไอคอนของ Drive C ที่ตอนนี้ นอนรอให้คุณเรียกใช้งานบน Taskbar ของ Windows7 แล้ว ถึงขั้นตอนนี้ คุณสามารถลบไฟล์ Drive C.exe บนเดเสก์ทอปออกไปได้ด้วย
ทิปส์ 4 < iPad การตัดต่อบทความอย่างเซียน /Cut, Copy and Paste for Experts >
อันนี้ง่ายมากนะครับ แต่ถ้าไมรู้ก็คงเดายากนะครับ การตัตดต่อบทความทั่วไป เพื่อนๆคงลองผิดลองถูกเอง ไม่ยากใช่ไหมครับ แต่เคยอยากจะตัดต่อทั้งย่อหน้าไหมครับ ส่วนใหญ่คงลากเอาใช่ไหมครับ จริงๆแล้วมีวิธีลัดนะครับ ถ้าอยากได้ทั้งย่อหน้าให้ แทปสี่ครั้งครับ และถ้าเป็นคำให้แท๊ปสองครั้งครับ
ทิปส์ 3 < ระวัง! แบตฯเสื่อม เพราะชาร์จผิด >
ในการฟิตแบตฯสำหรับแบตเตอรี่ Lithium-ion นั้นไม่ต้องการให้มีการ"ดิสชาร์จ" จนหมด โดยเฉพาะการใช้งานจนแบตฯเหลือต่ำกว่า 10% ทุกครั้งแล้วค่อยชาร์จ ซึ่งอาจทำให้แบตฯเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร แต่สำหรับการทำ Calibration ที่แนะนำไปในทิปส์ 1 นั้น จะทำแค่ครั้งเดียวต่อเดือน(หรือทุกๆ30ครั้งของการชาร์จ) สำหรับการใช้งานทั่วไป เมื่อแบฯเหลือไฟประมาณ 30% - 40% ก็ควรชารืจได้แล้ว นอกจากนี้ ความร้อนของโน้ตบุ๊ก หรือแหล่งความร้อนภายนอก อย่างเช่น ทิ้งโน้ตบุ๊คไว้กลางแดด ก็ส่งผลต่อแบตฯเสื่อมเร็วขึ้นได้อีกด้วย หากคุณผู้อ่านไม่ต้องการทำ Calibration ให้หลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กโน้ตบุ๊กนานเก
8 ชั่วโมง เนื่องจากคุณสมบัติของแบตฯ Lithium-ion จะใช้ได้นานเกินกว่า 1 สัปดาห์ ควรมั่นใจว่ามีแบตเตอรี่เหลืออยู่อย่างน้อย 40%
ทิปส์ 2 < การลบ History ของ Google Search >
คุณต้องใช้โปรแกรม regedit ครับ
1. ให้คุณเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USERSoftwareGoogleNavClient1.1History ครับ
2. คลิกขวาที่คีย์ย่อย (sub-key) ของ History เลือกคำสั่ง Delete ก็เสร็จขั้นตอนครับ
1. ให้คุณเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USERSoftwareGoogleNavClient1.1History ครับ
2. คลิกขวาที่คีย์ย่อย (sub-key) ของ History เลือกคำสั่ง Delete ก็เสร็จขั้นตอนครับ
ทิปส์ 1 < ฟิต"แบตเตอรี่"เดือนละครั้ง ฟื้น"พลัง"ให้โน้ตบุ๊ก >
เมื่อโน้ตบุ๊กตัวเก่ง เริ่มทำงานช้าลง สังเกตได้จากการโหลดหน้าเว็บที่ช้าลง รอวีดีโอตั้งนานกว่าจะเริ่มเล่น ตลอดจนความเชื่องช้าของการทำงานส่วนอื่นๆ น่าเสียดายที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เลือกที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทั้งๆที่ความจริงหากคอยบริหารมันทุกเดือนก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้น แต่โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำวิธีนี้ วิธีนี้เหมาะสำหรับรุ่นที่โบราณซักหน่อย ลองทำตามขั้นตอนนี้ดูครับ
ชาร์จแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊กจนเต็ม 100% เมื่อแบตฯเต็มแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นใช้งานเครื่องจนแบตเตอรี่เกือบจะหมด จัดเก็บงานเอกสารที่แก้ไข ปิดบราวเซอร์เว็บ และโปรแกรมต่างๆ ให้หมด แล้วปล่อยให้โน้ตบุ๊กชัตดาวน์ไปเอง (Hibernate Mode) แบตฯ จะเหลือประมาณ 5% - 10% ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 5-6 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืน ซึ่งแบตฯจะมีการคายประจุไฟฟ้าจนเกือบจะสมบูรณ์ เพื่อการชาร์จแบตฯ ครั้งต่อไปจะได้เหมือนกับเป็นการชาร์จครั้งแรกๆ จากนั้นเปิดเครื่องแล้วชาร์จแบตฯจนเต็ม 100% แล้วค่อยนำไปใช้ ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้ เดือนละครั้ง หรือทุกๆการชาร์จแบตฯ 30 ครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)